หน้าหลัก > ABOUT WASTE WATER
ABOUT WASTE WATER

น้ำมีความสำคัญต่อเราอย่างไร ?

น้ำ เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตประจำวันของเราตั้งแต่ลืมตา เราใช้น้ำสำหรับดื่มกิน ประกอบอาหาร ชำระร่างกาย น้ำมีความจำเป็นสำหรับการเพาะปลูก การเลี้ยงสัตว์ และเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตในน้ำ เช่น กุ้ง หอย ปลา ปู และสัตว์อื่น ๆ ซึ่งเป็นอาหารของมนุษย์ ในภาคอุตสาหกรรมต้องใช้น้ำในกระบวนการผลิต ใช้ล้างเครื่องจักร ใช้หล่อเครื่องจักรและระบายความร้อน เราจึงต้องใช้ทรัพยากรน้ำอย่างรู้คุณค่า เนื่องจากในปัจจุบันมีปัญหาเกิดขึ้นกับแหล่งน้ำเป็นจำนวนมากทั้งปัญหาน้ำไม่พอใช้ การขาดแคลนน้ำ รวมถึงปัญหาน้ำเน่าเสียที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์

น้ำเสียและแหล่งที่มาของน้ำเสีย 

น้ำเสีย หมายถึง น้ำที่มีสิ่งปนเปื่อนต่าง ๆ มากมาย จนกระทั่งเป็นน้ำที่น่ารังเกียจของคนทั่วไป ไม่เหมาะสำหรับการใช้ประโยชน์ หรือถ้าปล่อยลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติก็จะทำให้คุณภาพน้ำแย่ลง เน่าเสีย สิ่งมีชีวิตในน้ำไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้

แหล่งที่มาของน้ำเสีย (SOURCES OF WASTEWATER) สามารถแบ่งออกได้ 3 แหล่ง ดังนี้ 

1. น้ำเสียจากการเกษตร (AGRICULTURAL WASTEWATER) เป็นน้ำเสียที่เกิดจากการเพาะปลูก น้ำเสียจากการเลี้ยงสัตว์และการล้างคอก

2. เสียจากชุมชน (DOMESTIC WASTEWATER) เป็นน้ำเสียที่เกิดจากการใช้น้ำประจำวันของประชาชนที่อาศัยในชุมชน เช่น การประกอบอาหาร การอาบน้ำหรือชำระล้างสิ่งสกปรกภายในครัวเรือน และอาคารประเภทต่าง ๆ

3. น้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม (INDUSTRIAL WASTEWATER) เป็นน้ำเสียที่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรม น้ำเสียประเภทนี้จะมีลักษณะสมบัติแตกต่างกันไปตามประเภทของโรงงาน

 

 

การบำบัดน้ำเสีย คือ อะไร

การบำบัดน้ำเสีย หมายถึง การปรับปรุงคุณภาพน้ำเสียให้ดีขึ้น ทำให้สิ่งปนเปื้อนในน้ำเสียหมดไป หรือเหลือน้อยที่สุด เพื่อให้น้ำทิ้งผ่านมาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด และไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสิ่งมีชีวิต ระบบบำบัดน้ำเสีย สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้

1. การบำบัดทางกายภาพ (PHYSICAL TREATMENT) เป็นวิธีการแยกขยะ หรือสิ่งเจือปนที่มีขนาดใหญ่ออกจากน้ำเสีย โดย ตะแกรงดักขยะ ถังดักกรวดทราย ถังดักไขมันและน้ำมัน เป็นต้น

2. การบำบัดทางชีวภาพ (BIOLOGICAL TREATMENT) เป็นกระบวนการที่อาศัยจุลินทรีย์ในการย่อยสลายและกำจัดสิ่งเจือปนในน้ำเสีย โดยความสกปรกกับสารอินทรีย์ในน้ำจะใช้เป็นอาหารและเป็นแหล่งพลังงานของจุลินทรีย์เพื่อใช้ในการเจริญเติบโต ทำให้น้ำเสียมีความสกปรกลดลง โดยจุลินทรีย์สามารถแยกออกเป็น 2 ประเภท คือ แบบใช้อากาศ และแบบไม่ใช้อากาศ

3. การบำบัดทางเคมี (CHEMICAL TREATMENT) เป็นวิธีแยกสารต่าง ๆ หรือสิ่งเจือปนในน้ำเสียออก เช่น โลหะหนัก สารพิษ ที่ปนเปื้อนอยู่โดยการเติมสารเคมีต่าง ๆ ลงไปเพื่อทำปฏิกิริยา กระบวนการทางเคมีจะเลือกใช้ก็ต่อเมื่อน้ำเสียที่เกิดขึ้นไม่สามารถบำบัดได้ด้วยกระบวนการทางกายภาพหรือชีวภาพ

 

ทำไมต้องมีระบบบำบัดน้ำเสีย ?

  • เพื่อเปลี่ยนสภาพน้ำเสียให้อยู่ในสภาพที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้
  • เพื่อทำลายตัวการที่ทำให้เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อโรค ป้องกันไม่ให้เกิดภาวะมลพิษทางน้ำ
  • เพื่อปรับปรุงสภาพน้ำให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กฎหมายกำหนด
  • เพื่อไม่ให้เกิดความเดือนร้อนต่อชุมชนรอบข้าง ลดสาเหตุที่ก่อให้เกิดการร้องเรียน เช่น กลิ่น สี

 

การตรวจสอบประสิทธิภาพน้ำเสียเบื้องต้น

การตรวจสอบประสิทธิภาพน้ำเสียเพื่อประเมินความสามารถของระบบว่ามีประสิทธิภาพเพียงพอต่อการรับน้ำเสียเข้าระบบหรือไม่ โดยมีปัจจัยที่ต้องตรวจสอบ ดังนี้ สำหรับระบบแบบใช้อากาศ

1. DO หรือ ค่าปริมาณออกซิเจนละลายน้ำ ควรไม่ต่ำกว่า 2 mg/L

2. pH ค่าความเป็นกรด-ด่าง อยู่ระหว่าง 5.5-9

3. ค่า SV30 หมายถึง ค่าปริมาตรของสลัดจ์ที่อ่านได้จากการนำน้ำจากบ่อเติมอากาศมาตกตะกอนใน Imhoff Cone ขนาด 1,000 mL เป็นระยะเวลา 30 นาที ซึ่งค่าที่ได้จะสามรถนำมาประเมินลักษณะการตกตะกอนของสลัดจ์ได้ว่ามีสภาพอย่างไร ค่าควรอยู่ระหว่าง 200-300 mL/L

 

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------

 

 

กฎหมายที่ควรรู้

กลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม 

ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง กำหนดมาตรฐานควบคุมการระบายน้ำทิ้ง พ.ศ.2560

มาตรฐานน้ำทิ้งต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้ (พิจารณา 8 พารามิเตอร์หลัก เป็นเบื้องต้น)

1. ค่าความเป็นกรดและด่าง (pH) ตั้งแต่ 5.5-9.0

2. ของแข็งละลายน้ำทั้งหมด (Total Dissolved Solids หรือ TDS) มีค่าดังนี้

  • กรณีระบายลงแหล่งน้ำต้องไม่เกิน 3,000 mg/L
  • กรณีระบายลงแหล่งน้ำที่มีค่าของแข็งละลายน้ำทั้งหมดเกินกว่า 3,000 mg/L ค่าของแข็งละลายน้ำทั้งหมดในน้ำทิ้งที่จะระบายได้ต้องมีค่าเกินกว่าค่าของแข็งละลายน้ำทั้งหมดที่มีอยู่ในแหล่งน้ำนั้นไม่เกิน 5,000 mg/L

3. ของแข็งแขวนลอยทั้งหมด (Total Suspended Solids หรือ TSS) ไม่เกิน 50 mg/L

4. บีโอดี (Biochemical Oxygen Demand) ไม่เกิน 20 mg/L

5. ซีโอดี (Chemical Oxygen Demand) ไม่เกิน 120 mg/L

6. ซัลไฟด์ (Sulfide) ไม่เกิน 1 mg/L

7. น้ำมันและไขมัน (Oil & Grease) ไม่เกิน 5 mg/L

8. ทีเคเอ็น (Total Kjeldahl Nitrogen) ไม่เกิน 100 mg/L

 

กลุ่มอาคารต่าง ๆ

ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดมาตรฐานควบคุมการระบายน้ำทิ้งจากอาคารบางประเภทและบางขนาด

“อาคาร” หมายความว่า อาคารที่ก่อสร้างขึ้น ไม่ว่ามีลักษณะเป็นอาคารหลังเดียว หรือเป็นกลุ่มของอาคารซึ่งตั้งอยู่ภายในพื้นที่ซึ่งเป็นบริเวณเดียวกัน และไม่ว่าจะมีท่อระบายน้ำท่อเดียว หรือมีหลายท่อที่เชื่อมติดกันระหว่างอาคารหรือไม่ก็ตาม ซึ่งได้แก่

1. อาคารชุด ตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด

2. โรงแรม ตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม

3. หอพัก ตามกฎหมายว่าด้วยหอพัก

4. สถานบริการประเภทสถานอาบน้ำ นวดหรืออบตัว ซึ่งมีผู้ให้บริการแก่ลูกค้า ตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการ

5. โรงพยาบาลของทางราชการหรือสถานพยาบาล ตามกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาล

6. อาคารโรงเรียนเอกชน ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน โรงเรียนของทางราชการอาคารสถาบันอุดมศึกษาของเอกชน ตามกฎหมายว่าด้วยสถาบันอุดมศึกษาของเอกชนและสถาบันอุดมศึกษาของทางราชการ

7. อาคารที่ทำการของทางราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือองค์การระหว่างประเทศและของเอกชน

8. อาคารของศูนย์การค้าหรือห้างสรรพสินค้า

9. ตลาด ตามกฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุข แต่ไม่รวมถึง ท่าเทียบเรือประมง สะพานปลา หรือกิจการแพปลา

10. ภัตตาคารหรือร้านอาหาร

แบ่งประเภทของอาคารออกเป็น 5 ประเภท

1. อาคารประเภท ก.

2. อาคารประเภท ข.

3. อาคารประเภท ค.

4. อาคารประเภท ง.

5. อาคารประเภท จ.

 

มาตรฐานควบคุมการระบายน้ำทิ้งอาคารประเภท ก. ต้องมีค่าดังต่อไปนี้

1. ค่าความเป็นกรดและด่าง (pH) ตั้งแต่ 5.0-9.0

2. ของแข็งละลายน้ำทั้งหมด (Total Dissolved Solids หรือ TDS) ต้องมีค่าเพิ่มขึ้นจากปริมาณสารละลายในน้ำใช้ตามปกติไม่เกิน 500 mg/L

3. ของแข็งแขวนลอยทั้งหมด (Total Suspended Solids หรือ TSS) ไม่เกิน 30 mg/L

4. บีโอดี (Biochemical Oxygen Demand) ไม่เกิน 20 mg/L

5. ตะกอนหนัก (Settleable Solids) ไม่เกิน 0.5 mg/L

6. ซัลไฟด์ (Sulfide) ไม่เกิน 1 mg/L

7. น้ำมันและไขมัน (Oil & Grease) ไม่เกิน 20 mg/L

8. ทีเคเอ็น (Total Kjeldahl Nitrogen) ไม่เกิน 35 mg/L

 

มาตรฐานควบคุมการระบายน้ำทิ้งอาคารประเภท ข. ต้องมีค่าดังต่อไปนี้

1. ค่าความเป็นกรดและด่าง (pH) ตั้งแต่ 5.0-9.0

2. ของแข็งละลายน้ำทั้งหมด (Total Dissolved Solids หรือ TDS) ต้องมีค่าเพิ่มขึ้นจากปริมาณสารละลายในน้ำใช้ตามปกติไม่เกิน 500 mg/L

3. ของแข็งแขวนลอยทั้งหมด (Total Suspended Solids หรือ TSS) ไม่เกิน 40 mg/L

4. บีโอดี (Biochemical Oxygen Demand) ไม่เกิน 30 mg/L

5. ตะกอนหนัก (Settleable Solids) ไม่เกิน 0.5 mg/L

6. ซัลไฟด์ (Sulfide) ไม่เกิน 1 mg/L

7. น้ำมันและไขมัน (Oil & Grease) ไม่เกิน 20 mg/L

8. ทีเคเอ็น (Total Kjeldahl Nitrogen) ไม่เกิน 35 mg/L

 

มาตรฐานควบคุมการระบายน้ำทิ้งอาคารประเภท ค. ต้องมีค่าดังต่อไปนี้

1. ค่าความเป็นกรดและด่าง (pH) ตั้งแต่ 5.0-9.0

2. ของแข็งละลายน้ำทั้งหมด (Total Dissolved Solids หรือ TDS) ต้องมีค่าเพิ่มขึ้นจากปริมาณสารละลายในน้ำใช้ตามปกติไม่เกิน 500 mg/L

3. ของแข็งแขวนลอยทั้งหมด (Total Suspended Solids หรือ TSS) ไม่เกิน 50 mg/L

4. บีโอดี (Biochemical Oxygen Demand) ไม่เกิน 40 mg/L

5. ตะกอนหนัก (Settleable Solids) ไม่เกิน 0.5 mg/L

6. ซัลไฟด์ (Sulfide) ไม่เกิน 3 mg/L

7. น้ำมันและไขมัน (Oil & Grease) ไม่เกิน 20 mg/L

8. ทีเคเอ็น (Total Kjeldahl Nitrogen) ไม่เกิน 40 mg/L

 

มาตรฐานควบคุมการระบายน้ำทิ้งอาคารประเภท ง. ต้องมีค่าดังต่อไปนี้

1. ค่าความเป็นกรดและด่าง (pH) ตั้งแต่ 5.0-9.0

2. ของแข็งละลายน้ำทั้งหมด (Total Dissolved Solids หรือ TDS) ต้องมีค่าเพิ่มขึ้นจากปริมาณสารละลายในน้ำใช้ตามปกติไม่เกิน 500 mg/L

3. ของแข็งแขวนลอยทั้งหมด (Total Suspended Solids หรือ TSS) ไม่เกิน 50 mg/L

4. บีโอดี (Biochemical Oxygen Demand) ไม่เกิน 50 mg/L

5. ตะกอนหนัก (Settleable Solids) ไม่เกิน 0.5 mg/L

6. ซัลไฟด์ (Sulfide) ไม่เกิน 4 mg/L

7. น้ำมันและไขมัน (Oil & Grease) ไม่เกิน 20 mg/L

8. ทีเคเอ็น (Total Kjeldahl Nitrogen) ไม่เกิน 40 mg/L

 

มาตรฐานควบคุมการระบายน้ำทิ้งอาคารประเภท จ. ต้องมีค่าดังต่อไปนี้

1. ค่าความเป็นกรดและด่าง (pH) ตั้งแต่ 5.0-9.0

2. ของแข็งแขวนลอยทั้งหมด (Total Suspended Solids หรือ TSS) ไม่เกิน 60 mg/L

3. บีโอดี (Biochemical Oxygen Demand) ไม่เกิน 200 mg/L

4. น้ำมันและไขมัน (Oil & Grease) ไม่เกิน 100 mg/L

© 2006-2024
Vevo Systems Co., Ltd.